ลักษณะของบ้านทรงไทยภาคกลาง
บ้านเรือนไทยในอดีตมักเป็นครอบครัวขยาย ใช้ชานเรือนเดียวกัน โดยสร้างเรือนต่อกันไปเรื่อยๆ ตั้งแต่สุโขทัย ซึ่งมีความเชื่อว่าเจ้าของบ้านต้องมีพรหมวิหาร 4 สิ่งที่แสดงถึงพรหมวิหาร 4 เรียกว่า จั่วหน้าพรหม ซึ่งมี หลังคาสามเหลี่ยมแหลมประกอบด้วยเรือนนอน ระเบียง ชานเรือน
รูปทรงเรือนมีลักษณะเป็นเรือนยกพื้นใต้ถุนสูง ทำให้ลมผ่านสะดวก ป้องกันภัยจากสัตว์และคนร้ายในเวลากลางคืน ป้องกันน้ำท่วม ใช้เก็บเครื่องมือเกษตรกรรมและยานพาหนะและประกอบอุตสาหกรรมครัวเรือนและเป็นที่พักผ่อน การยกใต้ถุนสูงต้องสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม ตัวเรือนมีลักษณะโปร่งด้วยฝาผนัง เรียกว่า ฝาโปร่งลม ทำให้อากาศสามารถผ่านได้ มีหลังคาทรงสูง ชายคายื่นยาว ช่วยคายความร้อนและควันและป้องกันฝนและแดด และมีชานกว้าง
(ภาพจากหนังสือ เรือนพื้นถิ่นละแวกเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ผู้แต่ง: พล.อ.ต. เอกชัย มุสิกบุตร)
ตัวเรือนสร้างด้วยไม้ หลังคาทรงสูงมียอดแหลม จั่วและปั้นเป็นทรงสามเหลี่ยมแหลมพุ่งขึ้น ปลายล่างขอบปั้นลมมีตัวเหงางอนกับเส้นรับกับเส้นรอบนอกของหน้าจั่ว ฝาบ้านเป็นแผงๆ ติดกันขนาดพอดีกับความยาวของช่วง เรียกว่า ฝาปะกน เสาทุกต้นเอนเข้าหาจุดศูนย์กลางของตัวบ้านเล็กน้อย โครงสร้างของบ้านประกอบเข้าด้วยการเข้าเดือยทั้งหลังไม่ใช้ตะปู ระเบียงและชั้นเชื่อมตัวบ้านเป็นเรือนหมู่ ไม่รวมเป็นหลังเดียวเพราะต้องการให้อากาศถ่ายเทและสามารถสร้างเพิ่มขยายได้ทีหลังเมื่อมีสมาชิกเพิ่ม
ต่อมาในช่วงสมัยรัชกาลที่ 2 มีการแบ่งวรรณะ อัมพวาคือราชการ จะใช้ไม้จริงทั้งหมดในการสร้างบ้าน แต่ชาวบ้านทั่วไปจะใช้ ไม้ไผ่ หญ้าคา ผสมด้วย ในสมัยรัชกาลที่ 5 ชาวบ้านเลิกใช้ไม้จริงแต่ยังใช้รูปทรงบ้านเดิม ในช่วงการพัฒนาต่างๆ มีการสร้างบ้านแบบปิดชานนอก เรียกว่าลูกโถง คือการเอาหลังคากะโลคลุมปิดชาน และพื้นที่ที่น้ำไม่ค่อยได้ท่วมเริ่มต่อเติมใต้ถุน ซึ่งใช้เวลาสร้างนาน และต่อมาได้เป็นต้นแบบของบ้านปัจจุบัน